majisuka butai

#คำเตือน ยาวมากและเพ้อเจ้อเกคิซามะซะ 90%

มีคนอยากอ่านรีพอร์ตก็สัญญาไว้ว่าจะเขียนนะ แต่ไม่รู้จะเริ่มเล่าจากตรงไหนก่อนดี…. /)_(\

ตอนที่มีประกาศว่าจะทำมาจิสึกะเป็นละครเวทีโดยมีตัวละครหลักคือเกคิคาระและโอทาเบะในงาน RH2015 นี่ก็ทุบโต๊ะทันที

“เลาจะไปดูเกคิซามะ!”

ตั้งแต่มกราก็ผ่านมาประมาณ 3 – 4 เดือนนั่ง ๆ นอน ๆ รอเวลาจองตั๋ว ตุ้มๆต่อมๆว่าตัวเองจะได้มั้ยนะ
แต่มั่นหน้าจองตั๋วเครื่องบินไปก่อนได้บัตรละครเวทีอีก TvT….
สุดท้ายก็ถูกตั๋วจากสิทธิ์ของSKE48 Mobile ได้รอบ12.00 น. ของวันที่ 15 พ.ค. ที่ลงเอาไว้เป็นอันดับแรกเพราะต้องการเพิ่มอัตราการถูกด้วยการจองรอบกลางวันวันธรรมดา คนจะได้ไม่มาแย่งกะเราเยอะTwT

คนอื่นๆ อาจจะอยากดูรอบแรกหรือรอบสุดท้ายมากกว่าด้วยเหตุผลว่านักแสดงจะโชว์พาวที่ต่างไปจากรอบอื่นแต่เราก็ไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลยยยยยสักนิดเดียว

เพราะเชื่อเต็มหัวใจอย่างไร้เหตุผลว่ามัตสึอิ เรนะเต็มที่กับทุกรอบการแสดง
ไม่ว่ารอบไหนเราก็จะได้เห็นพลังทุ่มสุดตัวของพี่เค้าแน่นอน (ทาสมากถึงมากที่สุด♥)

ตอนเปิดจองตั๋วรอบธรรมดาก็ลงเอาไว้ด้วยเพราะยังไงก็อยากดูหลาย ๆ รอบ แต่ก็ปิ๋ว…. เอาเถอะ ได้ตั๋วใบนึงก็โชคดีแล้วล่ะนะ ; w;

ช่วงก่อนบินก็วุ่น ๆ เรื่องส่วนตัว ข่าวเขิ่วก็แทบไม่ได้ตาม ทวิตเตอร์ก็ไม่ได้เปิด
มาเปิดดูคร่าวๆวันก่อนบิน ดูรูปจากรอบสื่อแล้วก็กรี๊ดกร๊าดเกคิซามะตามประสาทาส…..TvT
บินเช้าวันที่ 14 พ.ค. ถึงญี่ปุ่นประมาณทุ่มนึง เข้าที่พักแล้วก็ออกไปปริ๊นท์ตั๋วที่ 7-11 ได้ตั๋วมาล่ะแทบเอามานอนกอดรีบอาบน้ำเข้านอน วันที่ 15 ก็ตื่นแต่เช้า แต่งตัวแต่งหน้าด้วยอารมณ์เหมือนจะออกไปเดท -//- หาข้าวกินเรียบร้อยก็ดิ่งไปชิบุยะตอนสิบโมง นั่งเล่นดูคนที่สี่แยกสตาร์บัคส์พักนึง พอ 11 โมงก็เดินตามแมพไปถึงโรงละคร AiiA Theater Tokyo

พอถึงใกล้ ๆ โรงละครก็สังเกตเห็นมีคนมายืนมุงเยอะมากที่ประตูทางเข้า ข้างในมีคนต่อแถวยาวเหยียด ในใจนี่ร้องเฮ้ย พลาดแล้ว มัวแต่ชิว….=_=

พออ่านป้ายดู ก็อ้อ เขาต่อแถวซื้อของที่ระลึกกันอยู่ ตัวเองก็อยากได้นะแต่ดูแถวเป็นพญานาคแล้วไม่อยากไปต่อ…

ได้ยินสตาฟฟ์ที่หน้าทางเข้าประกาศว่าของที่ระลึกจะเปิดขายจนถึงหลังจากการแสดงอีก 30 นาที เราก็อืม ๆ ค่อยมาซื้อล่ะกัน พอใกล้เที่ยง สตาฟฟ์ก็เรียกคนที่มีตั๋วให้เข้าไปต่อแถวข้างใน เราเดินเข้าไปเป็นคนแรก ๆ มองคนรอบตัวมีแต่ผู้ชายตัวใหญ่ ๆ นี่ตัวกระจิ๋วเหมือนมดน้อยอยู่คนเดียวในแถว รู้สึกใจแป้วว่าตัวเองมาผิดที่ผิดทางป้ะว้าTvT… พอเห็นเกคิซามะในโปสเตอร์มาจิสึกะที่แปะเป็นแถวแล้วใจชื้น ไม่เป็นไรหรอก เรามาดูพี่เค้านี่นา ♥ (ทาสอะเกน)

ยืนรอพักนึงก็มีสตาฟฟ์ใส่สูทมาตรวจตั๋ว ดูชื่อบนตั๋วกับบัตรประจำตัวว่าตรงกันมั้ย ไม่มีใครสวมรอยมานะ (แต่มีเพียบล่ะเชื่อเถอะ) ผ่านด่านตรวจตั๋วก็ไปตรวจว่าพกของอันตรายมารึเปล่า กางแขนกางขาใช้เครื่องตรวจจับโลหะตรวจเข้มมากยังกะสนามบิน… จากนั้นก็เข้าไปตรวจกระเป๋าว่าพกของมีคมหรือพวกสเปรย์ที่ระเบิดได้มารึเปล่า ก็ผ่านไปด้วยดี สตาฟฟ์ยิ้มแย้มแจ่มใสและสุภาพมาก

พอเข้าไปข้างในล็อบบี้ก็เจอพวงดอกไม้มาแสดงความยินดีจากหลายรายการเต็มไปหมด คนแย่งกันถ่ายรูปเหมือนแร้งทึ้ง

สตาฟฟ์ให้คนดูรอที่ล็อบบี้จนเที่ยงครึ่งได้ถึงเปิดให้เข้าไปข้างในโรงละคร ที่ด้านหน้ามีบอร์ดแสดงลำดับที่นั่ง เราก็ไปเช็คว่าที่นั่งบนหน้าตั๋ว แถว 10 ลำดับที่ 27ของเราจะได้อยู่ตรงไหนนะ ปรากฏว่าอยู่ตรงกลางค่อนขวานิดนึง เป็นตำแหน่งที่ดูดีใช้ได้ทีเดียว -v-


เปิดเรื่อง :

CFiDV45UEAAenK5ในโรงละครดับไฟมืดสนิท กระทั่งมีสปอตไลท์ผ่านหลังฉากผ่านม่านกั้นแสงสะท้อนเป็นเงาของเกคิคาระ (มัตสึอิ เรนะ)

เรื่องเริ่มต้นจากฉากที่เกคิคาระพ้นโทษออกจากคุก มีผู้คุมหญิงออกมาส่ง(?) กล่าวเหน็บแนมถากถาง

“สวะก็เป็นสวะอยู่วันยังค่ำ”

“ถ้าเกิดแกก่อเรื่องอีกล่ะก็ คราวนี้ไม่ใช่แค่ที่นี่แล้วแต่แกจะถูกส่งตัวไปที่ Majisuka prison hope!!”

“กลับไปอยู่กับพวกเพื่อนสวะของแกที่โรงเรียนซะไป!”

เกคิคาระถูกผู้คุมฉุดกระชากลากถู แต่ไม่ตอบโต้สักนิด ลุกขึ้นปัดเสื้อหล่อ ๆ
ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตรงไปข้างหน้า พูดคนเดียวว่า

“เพื่อนฉันเรียนจบกันหมดแล้วน่า”CE6O7HCVIAAx3ch


2052772_201505130947497001431520708c

เพลง Majisuka Rock&Roll ดังขึ้น เปิดฉากสู่ห้องเรียนของมาจิโจ
บรรยากาศในห้องเรียนวุ่นวาย โดยมีทีมเคบับเป็นหัวโจก
มีสมาชิกคือ กัตสึ(ทาโนะ ยูกะ),โบเทะ(ทาคาฮาชิ จูริ),ซังคาคุ(โอชิมะ เรียวกะ),โออิริ(คาวาโมโตะ ซายะ)

ทุกคนลือกันใหญ่ว่าเกคิคาระกำลังจะกลับมา จนกระทั่งเกคิคาระเดินมาเข้ามาในห้องเรียน เปลี่ยนบรรยากาศปาร์ตี้เป็นความหวาดกลัว เด็กยกเก้าอี้ให้นั่ง เกคิคาระก็นั่งหล่อ ๆ ด้วยสีหน้ารำคาญเล็กน้อย กระทั่งโอทาเบะ(โยโกยามะ ยุย)เดินเข้ามาหา

“ยินดีต้อนรับกลับมานะ เกคิคาระ”

“…..โอทาเบะ”

ฉากการพบกันของทั้งคู่กำลังจะซึ้ง ถ้าไม่ใช่เพราะกัตสึเข้ามาแทรก

“โอ๊ย ช่างน่าประทับใจอะไรอย่างนี้!!” กัตสึปาดน้ำตา ก่อนคุกเข่าคำนับแบบสาวเกียวโต “ยินดีต้อนรับกลับมานะเจ้าคะ เกคิคาระ” แล้วผุดลุกไปอีกด้านแอ็คท่าเลียนแบบเกคิคาระ ทำเสียงเข้ม “ฉันกลับมาแล้ว โอทาเบะ!”

“น่าประทับใจเหลือเกิน!!” กัตสึกรีดร้องท่ามกลางสีหน้าเอือมระอาของเกคิคาระ

คาดว่าเกคิคาระอาจจะต่อยกัตสึปากแตกไปก่อน ถ้ากัตสึไม่พูดเรื่องไปทัศนศึกษาที่เกียวโตขึ้นมา
เกคิคาระตกใจว่าตัวเองจะต้องไปทัศนศึกษากะเขาด้วย โอทาเบะก็ยิ้มชวนอีกฝ่ายไปด้วยกันซึ่งเกคิคาระก็ไม่สามารถปฏิเสธอะไรได้


ฉากที่เกียวโต :

5bc482d8-s

6297abdfb66333d0479d4e1aac6e1571

ที่เกียวโตก็มีโรงเรียนแยงกี้ที่ชื่อว่า มิบุมิจจิ ซึ่งเป็นโรงเรียนเก่าของโอทาเบะ
มีชมรมดนตรีที่ชื่อว่า เด็งเดเคะ ปรากตัวขึ้น ใช้เพลง Teppen Tottande! ของ NMB48 เป็นเพลงธีม
หัวโจกของเด็งเดเคะคือ ประธาน คนโด้ (นากานิชิ จิโยริ) , รองประธาน ฮิจิคาตะ (นากาโอะ มาริยะ) , มือกีตาร์ โอคิตะ (โอคาดะ นานะ)

แล้วก็ตัดฉากเข้ามาที่เกคิคาระเดินหลงพวกในเกียวโตจนทุกคนต้องออกตามหา
พวกมาจิโจก็ปะทะเข้ากับพวกโรงเรียนมิบุมิจจิเข้าพอดี ด้วยเหตุที่ฝ่ายโรงเรียนมิบุมิจจิเกลียดโอทาเบะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะคิดว่าโอทาเบะหักหลังพวกตัวเองด้วยการย้ายไปอยู่มาจิโจจึงเข้ามาหาเรื่องในทันที เกคิคาระก็เดินชมนกชมไม้ไม่สนใจจนกระทั่งได้ยินเสียงกีตาร์ของโอคิตะ พอได้ยินเสียงกีตาร์เกคิคาระก็เกิดคลุ้มคลั่ง คุมสติตัวเองไม่ได้ หัวเราะเสียสติพร้อมประโยคในตำนาน

“นี่ โกรธอยู่รึเปล่า?”

โอทาเบะต้องรีบเข้ามาห้าม พวกมิบุมิจจิก็พากันหนีไปเพราะกลัว พวกมาจิโจจึงลากเกคิคาระกลับวัดซึ่งเป็นที่พัก

p-et-tp0-150514-0003_thum630


การต่อสู้อันไร้เหตุผล:

45007069

คู่คามิโซริกับซอมบี้สมัยยังอยู่ ม.3 เที่ยวไถตังค์ชาวบ้านไปทั่วไม่เว้นกระทั่งเกคิคาระ
พี่ท่านก็เก๊กหล่อ คู่หมีหมูก็นึกว่าจะสู้เลยตั้งท่า แต่สุดท้ายพี่ท่านชูกระเป๋าตังค์(สีแดงด้วยนะ) ขึ้นมา

“การต่อสู้อันไร้เหตุผล ไม่มีความหมายอะไรหรอก” เกคิคาระเชิดหน้าขึ้น “ยูโกะซังบอกไว้”

“โธ่เอ๊ย ก็นึกว่าจะแน่ เอามาให้แต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้ว” คู่หมีหมูฉกกระเป๋าตังค์มาจากเกคิคาระ ก่อนที่พี่ท่านจะเดินหล่อจากไป

“ไหนดูสิ มีเท่าไร” คู่หมีหมูตื่นเต้น

“เฮ้ย!!!!”

“มีแค่ 30 เยนเองนี่หว่า!!”

“ไรวะ ไอ้บ้านั่น อย่าให้เจออีกนะ!”
…….อย่าเอาอะไรกะคนหล่อจน ๆ อย่างพี่เค้าเลยค่ะTvT


ขัดส้วม :

เป็นฉากที่ทีมเคบับต้องมาขัดส้วมของวัด ขัดไปบ่นไป พระก็เข้ามาด่าว่าขัดประสาอะไรไม่ใส่แรงเลย
กระทั่งเหลือบไปเห็นเกคิคาระนั่งหล่ออยู่ข้างบนคนเดียวไม่คิดช่วยชาวบ้านขัดส้วม ….
พระปรี่เข้าไปด่าว่าทำอะไรของเอ็ง ไม่ช่วยคนอื่นเลยรึไง เกคิคาระคนหล่อของเราก็นั่งแกะเล็บตัวเองต่อไป ตรวจตราดูถ้วนถี่ทุกซอกเล็บ ไหน ๆ ชูขึ้นส่องดูกับแสงหน่อยซิ ….
พระคงอยากสกายคิกใส่แต่โอทาเบะเข้ามาทักก่อนว่าทำความสะอาดสวนเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เกคิคาระของเราเลยยังนั่งหล่อต่อไปได้โดยไม่โดยเพ่นกบาล….

เป็นฉากที่ไม่มีบทพูดอะไร แต่เล่นได้กวนติงดีมาก ๆ ยอมใจ…….


เกคิคาระเล่าเรื่องผี: 

20150518094535

ในการค้างคืนทัศนศึกษาจะขาดการเล่าเรื่องสยองขวัญไปไม่ได้ พวกกัตสึจึงชวนให้ทุกคนมาร่วมเล่าเรื่องผีกัน ตอนแรกเกคิคาระก็นั่งอยู่ไกล ๆ นั่งหล่อตามประสาฮิปสเตอร์ไม่คิดจะร่วมวงด้วยหรอกนะ
พอโอทาเบะกำลังจะเล่าเรื่องกับเขาบ้าง กัตสึก็ลุกขึ้นแทรก ชวนเกคิคาระมาเล่าเรื่องผีด้วยกัน

“นี่มันก็เป็นเรื่องนานมาแล้วน่ะนะ….” เกคิคาระลุกเข้ามาร่วมวง

“เฮ้ย นี่มาเล่าด้วยจริงดิ!!” ทุกคนถึงกับร้องขุ่นพระ

เกคิคาระคุกเข่าลงนั่ง เก๊กหน้าขรึม “ตอนนั้นฉันเดินอยู่แล้วเจอทางแยกสองทาง ประตูทางซ้ายเขียนเอาไว้ว่า” เกคิคาระดัดเสียงเป็นเสียงเด็ก “หนูอยู่ตรงนี้นะ”

“ฉันก็เลยเปิดประตูซ้าย แล้วเดินแข้าไป” เกคิคาระเล่าต่อ “คราวนี้มีประตูซ้ายขวา มีอักษรเขียนไว้ว่า
(ดัดเสียงเด็ก) “ร่างกายหนูอยู่ทางซ้าย แต่หัวหนูอยู่ทางขวา” แล้วฉันก็เลยเดินเข้าไปทางประตูซ้าย….”

เกคิคาระเว้นครู่หนึ่ง ทุกคนนั่งนิ่งฟัง

“ฉันรู้สึกกลัวแต่ก็เดินเข้าไป มองลงที่พื้น มันเขียนเอาไว้ว่า” (ดัดเสียงเด็ก) “หัวหนูที่อยู่ทางขวากำลังจะมาหาแล้วนะ”

ได้ยินเสียงทุกคนหวีดร้อง

เกคิคาระยืดตัวขึ้นเล็กน้อย มีท่าทีตื่นเต้นอย่างนึกสนุก (คงชอบเล่าเรื่องผีมาก…)

“แล้วฉันก็ได้ยินเสียงกระซิบบอกว่า “อย่าหันมาข้างหลังเด็ดขาดเลยนะ” ……. ”

“ฉันอยู่นี่ไง~~~~~~~~~~~~~” พระเอาไฟฉายส่องใต้คางและโผล่มาจากข้างหลัง

“ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!”

วงแตก วิ่งหนีหางจุกตูดกันหมดไม่เว้นกระทั่งเกคิคาระคนหล่อ (โถ…….)

ได้เห็นเกคิคาระในมุมนี้แล้วรู้สึกว่าน่ารักจัง♥


โอชิเบะ&เมชิเบะ:

CE8ZPEYUMAAc8kk

กลางดึกคืนนั้น โบเทะกับซังคาคุแอบลอบมาพลอดรักกัน……………ไม่รู้ไปคบกันได้ยังไง แต่เอาเป็นว่าเป็นฉากที่ฮาดี…..

ใช้เพลง Oshibe to meshibe to yoru no chouchou แสดงการพลอดรักแสนอันตรายของคุณพี่และคุณน้อง ทั้งสองคงจะสนุกสนาน(?)กันดีถ้าพวกเด็งเดเคะไม่มาเจอเข้า ทั้งสองคนถูกพวกเด็งเดเคะรุมต่อยแล้วก็บังคับจับให้จูบกันให้ได้ แต่พอดีพวกมาจิโจวิ่งเข้ามาช่วยไว้ก่อน แต่เมื่อเกคิคาระได้ยินเสียงกีตาร์ของโอคิตะก็เกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกหน อาละวาดใส่ทุกคน แย่งเหล็กเสียบจากพวกเด็งเดเคะมาแทงขาตัวเอง แล้วเกคิคาระก็หมดสติไป

CE9xamgVIAEyI8x


อดีตของเกคิคาระ:

2052772_201505130948669001431520708c

โอทาเบะนั่งเฝ้าอยู่ข้างเกคิคาระจนกระทั่งอีกฝ่ายฟื้นขึ้นมา โอทาเบะจับสังเกตได้ว่าพอเกคิคาระได้ยินเสียงกีตาร์ทีไรก็มีอาการแปลก ๆ ทุกที เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า เกคิคาระก็ปฏิเสธว่าไม่มีอะไรทั้งนั้น
แล้วฉากก็ดำเนินเข้าแฟลชแบ็คย้อนอดีตสมัยประถมของเกคิคาระ โดยมีโอทาเบะนั่งมองดูอยู่ห่าง ๆ

เด็กน้อยเกคิคาระยืนรอแม่ซึ่งเป็นนักกีตาร์กลับบ้านทุกวัน แม่ก็กลับบ้างไม่กลับบ้าง
กระทั่งวันหนึ่งแม่เมาเหล้ากลับมา เกคิคาระดีใจมากที่ได้เจอ

“แม่คะ หนูรอแม่มาตลอดเลยนะ”

“ก็แค่สองวันเอง แกอย่าเว่อร์ไปเลยน่า”

แม่ของเกคิคาระเป็นนักดนตรีขายไม่ออก เมาหัวราน้ำและทำร้ายร่างกายลูกเป็นประจำ

“ถ้าไม่มีแกสักคน ชีวิตฉันคงจะรุ่งกว่านี้ไปแล้ว! อย่างว่าใครมันจะไปสนมือกีตาร์ลูกติดล่ะวะ!”

“เดี๋ยวฉันส่งแกไปอยู่กับพ่อแกซะเลยดีมั้ย เฮอะ แต่หมอนั่นก็บอกว่ามันไม่เอาแกแล้วมันก็หนีไปนี่หว่า” แม่แสยะยิ้ม

“ถึงฉันก็ไม่อยากได้แกเหมือนกันก็เหอะ”

“……….” เกคิคาระนิ่งเงียบ มองแม่ตัวเองด้วยแววตาหวาดกลัว

“หัวเราะสิเว้ย! มันต้องหัวเราะที่มุกนี้เซ่!!” แม่กระชากผมลูกสาวตัวเองขึ้นแล้วบังคับให้ลูกหัวเราะ
เกคิคาระก็ส่งเสียงหัวเราะออกไป แม่ทุบตบตี บีบคอ ทำร้ายร่างกายไม่หยุด เสียงหัวเราะที่ฟังคล้ายกับเสียงร้องไห้….

เกคิคาระชื่นชมเสียงกีตาร์ของแม่มาก มีรอยยิ้มบริสุทธิ์ใจเต็มหน้า เฝ้ามองแม่ที่ดีดกีตาร์ด้วยดวงตาเป็นประกาย

“เท่ใช่มั้ยล่ะ?” แม่ถาม

“อื้อ!” เกคิคาระยิ้มกว้าง “แม่เท่มากเลย!”

“ฮึ….” แม่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี “จริงสิ แกก็มาดีดกีตาร์ด้วยสิ เดี๋ยวฉันสอนแกเอง แกเป็นลูกฉัน แกต้องมีพรสวรรค์แน่ ๆ ”

แล้วเด็กน้อยเกคิคาระก็เข้าไปนั่งข้างแม่ด้วยท่าทางดีอกดีใจ แม่กอดเธอ ซบหน้าผากอย่างรักใคร่
ก่อนถอดสายกีตาร์สวมให้เกคิคาระ

“จับตรงนี้นะ” แม่สอน

“แบบนี้เหรอ?” เกคิคาระวางนิ้วลงบนคอร์ด

“…..” ทันใดนั้น แม่ก็กระชากมือของเกคิคาระขึ้นมาจ้อง

“เล็บยาวแบบนี้มันจะไปดีดกีตาร์ได้ไงล่ะวะ?”

สีหน้าเกคิคาระเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว ก่อนที่แม่จะกัดกระชากเล็บเธอฉีกอย่างรุนแรง
สุดท้ายแล้ว เกคิคาระก็ถูกแม่ทิ้งอยู่ดี


มือของโอทาเบะ:

เมื่อฉากย้อนอดีตจบลง เกคิคาระยังคงนั่งหัวเราะเสียสติต่อไป

แล้วโอทาเบะก็ลงมานั่งใกล้ ๆ พร้อมบอกว่า

“รอยยิ้มของเธอดูคล้ายกับร้องไห้อยู่ บางครั้งก็ดูเหมือนกำลังโกรธด้วยเหมือนกัน….
เวลาที่เกิดความรู้สึกที่ไม่รู้จะทำยังไงกับมันดี เธอมักหัวเราะเสมอเลยนี่นะ”

เกคิคาระหัวเราะด้วยเสียงคล้ายสะอื้นไห้….โอทาเบะกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้

“มือเธอนี่เย็นจังเลยนะ”

เกคิคาระก้มมอง “….โอทาเบะต่างหากที่อบอุ่น”

โอทาเบะยิ้ม “เธอก็ยังสัมผัสถึงความอบอุ่นของคนอื่นได้อยู่เหมือนกันนี่”

เป็นฉากที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นของโอทาเบะกับเกคิคาระได้ดีมาก ๆ


โอทาเบะกลับมิบุมิจจิ:

CFCuraKUEAA9YSF

มีสาส์นติดธนูส่งมาจากพวกเด็งเดเคะ สั่งให้โอทาเบะออกไปหาพวกมันคนเดียว
พวกกัตสึพยายามตามไปด้วย แต่โอทาเบะสั่งไว้เด็ดขาดว่าห้ามตามมา

พวกเด็งเดเคะขู่โอทาเบะว่าจะใส่ความเกคิคาระว่าขโมยของและทำร้ายร่างกายนักเรียนมิบุมิจจิ
โอทาเบะถุยว่าเรื่องโง่ ๆ ใครมันจะเชื่อ คนโด้เลยเตือนความจำว่าอ้าว ไปอยู่มาจิโจนานเลยความจำเสื่อมแล้วสินะ ไม่รู้รึไงว่าพ่อไอเด็กนี่มันเป็นผู้พิพากษา เกคิคาระเคยติดคุกมา ถ้าโดนจับอีกจะต้องถูกส่งตัวไปเรือนจำMajisuka Prison Hopeแน่

ถ้าไม่อยากให้เกคิคาระโดนจับ โอทาเบะต้องกลับมาเข้าโรงเรียนมิบุมิจจิซะ

“โฮ่ง!” โอทาเบะตะโกน

“อะไรของเอ็งวะ?” พวกเด็งเดเคะสงสัย

“ก็โฮ่งไงล่ะเว้ย!”

ด้วยความที่โอทาเบะต้องการให้เกคิคาระเรียนจบให้ได้ ก็เลยยอมรับข้อเสนอเป็นสุนัขรับใช้ให้กับพวกเด็งเดเคะ

จบฉากนี้แล้ว มีการพักครึ่ง 15 นาที รู้สึกบรรยากาศหนักอึ้งมากจริง ๆ ……..


เกคิคาระสับสน:

20150518095624

เช้าวันต่อมาเมื่อโอทาเบะไม่กลับมาที่วัด กัตสึจึงทนไม่ไหวร้องโวยวายอาละวาดใหญ่เพราะเป็นห่วงโอทาเบะ
กระทั่งเกคิคาระลากเด็กเด็งเดเคะมาได้คนนึง เอามาซักเรื่องของโอทาเบะ

อุริโบ (นิชิโนะ มิกิ) บอกกับเกคิคาระอย่างกวนตีนว่าโอทาเบะหักหลังมาจิโจมาเข้าพวกกับโรงเรียนมิบุมิจจิแล้ว กัตสึก็เถียงว่านั่นมันประธานรัปปาป้านะ! จะไปเข้าเด็งเดเคะได้ยังไง อุริโบก็ร้อง อุรี๊ ๆ ๆ ต่อไปอย่างกวนตีน ….. (บทอุริโบนี่ฮามาก ออกมาทีไรคนฮาทั้งโรง……)

เกคิคาระถามว่านั่นเป็นความสมัครใจของโอทาเบะงั้นเหรอ
อุริโบก็อุรี๊ๆๆๆๆๆๆ โอทาเบะตั้งใจเป็นหมารับใช้เอง!

เมื่อได้ยินดังนั้น เกคิคาระก็นิ่งไป กัตสึไม่ยอมเชื่อร้องโวยวายว่าจะไปบุกรังของพวกเด็งเดเคะ
แล้วก็ขอร้องให้เกคิคาระไปด้วยกัน แต่เกคิคาระไม่ยอมขยับเพราะรู้ว่ามันคือความตั้งใจของโอทาเบะเอง
พวกกัตสึโกรธจึงไม่สนใจ แล้ววิ่งออกไปยังรังของพวกเด็งเดเคะ

a16db77b

ฉากก็ดำเนินเข้าสู่ภายในจิตใจของเกคิคาระ
มีมโนภาพของแม่กับโอทาเบะปรากฏขึ้นมาซ้อนทับกัน

แม่ที่บอกว่าไม่ต้องการคนอย่างเธอ
โอทาเบะที่บอกว่านึกว่าเราเป็นเพื่อนกันซะอีก

เกคิคาระเจ็บปวดจากการที่ใคร ๆ ก็ผลักไสและหนีออกไปจากชีวิต ไม่เคยมีใครต้องการ


ธงมาจิโจ:

4a6a9371

พวกกัตสึบุกเข้าไปรังของพวกเด็งเดเคะ ถามหาโอทาเบะ
พวกเด็งเดเคะก็เอ๊ะ โอทาเบะนี่ใช่ชื่อหมาของเรารึเปล่า?
พวกกัตสึโกรธมาก แต่เมื่อโอทาเบะปรากฏตัวขึ้นในชุดนักเรียนมิบุมิจจิ
กัตสึก็ตกใจก่อนจะหัวเราะว่า อ้อ เล่นละครเก่งจังเลยนะคะ ฮ่าๆๆ….บอกสิว่าเล่นละครอยู่
โอทาเบะตอบด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

“ฉันไม่ใช่ประธานของรัปปาป้าอีกต่อไปแล้ว ฉันเป็นเด็งเดเคะ!”

พร้อมกับเหยียบขยี้ธงสีแดงของมาจิโจกับพื้น

กัตสึเจ็บปวดมากจากภาพที่เห็น กอดธงมาจิโจไว้แน่น ตะโกนใส่พวกเด็งเดเคะอย่างแค้นเคืองว่าจะพาโอทาเบะกลับมาจิโจให้ได้
ในเวลาที่โอทาเบะหลงผิด เป็นหน้าที่ของตนที่ต้องพากลับสู่เส้นทางที่ถูกที่ควร
จึงตกลงรับข้อเสนอจากพวกเด็งเดเคะว่าจะพาตัวเกคิคาระมาให้ ถ้าสู้ชนะก็จะขอตัวโอทาเบะกลับคืนไป

โอทาเบะขัดขึ้นมาว่าแค่ให้ตัวเองมาเป็นหมารับใช้แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วนี่ แต่พวกเด็งเดเคะไม่มีใครฟัง

a05fb4ef


ความหมายของชีวิต :

6f117816

กัตสึกลับมาขอร้องเอาเป็นเอาตายให้เกคิคาระไปช่วยโอทาเบะด้วยกัน แต่เกคิคาระถอดแจ็กเก็ตวางทิ้งไว้ ไม่พูดตอบอะไร กัตสึโมโหว่าตัวเองไม่มีค่าพอจะพูดด้วยรึยังไง จึงต่อยเกคิคาระไปหนึ่งที แต่เกคิคาระก็ยังไม่ตอบอะไรอยู่ดี กัตสึก็เลยร้องไห้ วิ่งหนีออกไป

เกคิคาระดำดิ่งลงสู่ห้วงลึกของจิตใจอีกครั้ง

ฉากนี้เป็นฉากที่เกคิคาระโซโล่เพลง 命の意味(Inochi no Imi)จังหวะช้ากว่าเวอร์ชั่นปกติ เรียกได้ว่าเป็นเวอร์ชั่นบัลลาดก็ไม่ผิด

ที่น่าสังเกตก็คือ เสียงร้องเพลงที่ได้ยินไม่ใช่เสียงของมัตสึอิ เรนะ แต่เป็นเสียงของเกคิคาระจริง ๆ
จากที่ก่อนหน้านี้จินตนาการไม่ออกว่าคนอย่างเกคิคาระจะร้องเพลงยังไงนะ ก็พบว่าเท่และดูดีมาก เสียงหล่อ-///-

เนื้อเพลงของเพลงนี้พอได้ยินจากปากของเกคิคาระแล้ว ถ้าไม่เคยฟังมาก่อนอาจหลงเข้าใจว่าเป็นเพลงออริจินัลที่เขียนมาเพื่อเกคิคาระเลยทีเดียว

CE9xammUIAAV0L4

生まれた朝を 覚えていない
最初の記憶は母の笑顔
知らないうちに 立って歩き
言葉を知って 愛も感じた
จำเช้าที่ถือกำเนิดขึ้นมาไม่ได้
ความทรงจำแรกสุดคือรอยยิ้มของแม่
ในขณะที่ไม่ทันรู้ตัว ก็ลุกขึ้นยืนและหัดเดิน
เข้าใจภาษาและสัมผัสได้ถึงความรัก

いつしか僕は大人になって
どこかへと向かっている
人混みに紛れ押し流されるように…
ในสักวันหนึ่ง ฉันจะกลายเป็นผู้ใหญ่
มุ่งหน้าไปยังที่ไหนสักแห่ง
ปนเปไปกับผู้คน ราวกับถูกกระแสพัดหลงหายไป

この命を与えられた意味
僕は何のために生きるのか?
今ここで 考えたいんだ
時間を無駄にしていないか?
やりたいこと やっているか?
ความหมายของชีวิตที่ได้รับมานี้
ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใดกันแน่?
อยากขบคิดให้ออกเดี๋ยวนี้
ฉันไม่ได้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ใช่ไหม?
ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำอยู่รึเปล่า?

終わりの夜に振り返るだろう
自分の人生 悔いはないか?
楽しいこととか悲しいこと
目を閉じた時 笑っているか?
หวนย้อนกลับไปในค่ำคืนที่มันจบลง
ในชีวิตของตัวเองไม่มีเรื่องที่นึกเสียใจใช่ไหม?
เรื่องที่สนุกสนาน เรื่องที่ทำให้เศร้าใจ
ตอนที่หลับตาลง ได้ยิ้มอยู่รึเปล่า?

それまで僕は前だけ向いて
ゴールへと歩いて行こう
誰もみな たった一つの道がある
ฉันเพียงมุ่งหน้าเดินมาจนถึงตรงนี้
ตั้งใจก้าวเดินไปสู่งจุดหมาย
เพราะไม่ว่าใครต่างก็มีอยู่เส้นทางเดียวทั้งนั้น

この命を与えられた意味
僕が生まれて来た足跡
今ここで問いかけてみたい
大事な夢を持っているか?
次の朝を待っているか?
ความหมายของชีวิตที่ได้รับมานี้
รอยเท้าจากการที่ฉันถือกำเนิดขึ้นมา
อยากร้องถาม ณ ที่นี่เดี๋ยวนี้
มีความฝันอันยิ่งใหญ่อยู่รึเปล่า?
เฝ้ารออรุณรุ่งแห่งวันถัดไปอยู่หรือไม่?

この命を与えられたのは
一生かけて何かするため
そう僕が 僕であるために
夢中になれる何かがある
やりたいこと やっているか?
การที่ได้รับชีวิตนี้มา
ก็เพื่อทำอะไรอย่างสุดชีวิต
ใช่ ฉันเองก็มีสิ่งที่ใฝ่ฝัน
เพื่อตัวของตัวเองอยู่เหมือนกัน
ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำอยู่รึเปล่า?

20150518094732
มีมโนภาพแม่ปรากฏตัวขึ้นมา แต่เมื่อเกคิคาระจะเข้าไปกอด แม่กลับหายตัวไป
เกคิคาระแสดงสีหน้าเจ็บปวดและโศกเศร้าอย่างที่สุด

ฉากนี้เป็นฉากเพลงที่ชอบมากที่สุดในเรื่อง อยากจะรีดูซ้ำ ๆ
เรนะซังร้องเพลงดีมาก ถามว่าเพราะระดับนักแสดงละครเวทีที่ร้องเพลงเพราะมาก ๆ มั้ยก็ไม่ใช่หรอก
แต่เสียงร้องเพลงของเกคิคาระในฉากนี้ชวนให้อินไปกับเนื้อหา
เพลงในละครเวทีไม่ใช่สักแต่ร้องเพราะแล้วจะดี แต่ดึงให้คนดูเข้าถึงตัวละครได้มากแค่ไหนต่างหากที่เป็นสำคัญ ยืนยันได้ว่าหาคนอื่นมาแทนที่มัตสึอิ เรนะในบทนี้ไม่ได้อีกแล้ว

เกคิคาระทำให้อินกับเพลงนี้มากทั้งที่เคยฟังจนเบื่อ ต้องเอากลับมาฟังซ้ำอีกแก้คิดถึง
ยกให้เป็นออริจินัลในดวงใจเลย♥


การตัดสินใจของเกคิคาระ:

45109919_437x636

เกคิคาระหยิบแจ็กเก็ตขึ้นมาใส่ มีสีหน้าขึงขังเหมือนตัดสินใจได้เด็ดขาดแล้วว่าจะไปช่วยโอทาเบะคนเดียว แต่แล้วพวกกัตสึก็ตามมาเจอ ขอไปด้วยกัน

“….กัตสึ” เกคิคาระเรียก

“พะ เพิ่งจะเคยเรียกชื่อของฉันเป็นครั้งแรกเลยนี่นา!” กัตสึตกใจและดีใจมาก

เกคิคาระเหลือบมอง “ฉันหนาว….กางร่มให้ที”

ท่ามกลางฉากหิมะโปรย พวกกัตสึกับเกคิคาระก็กลายเป็นพวกเดียวกัน

014629f7


เกคิคาระกับโอทาเบะ:

4441a45a

เมื่อพวกเกคิคาระบุกไปถึงรังของพวกเด็งเดเคะแล้ว พวกเด็งเดเคะกลับสั่งให้โอทาเบะไปสู้กับเกคิคาระ
มีเงื่อนไขว่าถ้าชนะจะได้ตัวโอทาเบะกลับคืน เป็นฉากแอคชั่นตัวต่อตัวระหว่างเกคิคาระกับโอทาเบะ

เกคิคาระจะยิ้มและหัวเราะแค่เฉพาะเวลาต่อสู้เท่านั้น

d522ecb6-s

ช่วงขณะที่ทั้งคู่ปะทะหมัดกัน

“โอทาเบะ กลับมาจิโจเถอะ….ไม่มีเพื่อนอยู่ด้วยแล้วมันน่าเบื่อจะตายไป”

“นี่เธอ แข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้….ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

แล้วโอทาเบะก็ล้มหมดสติไป

CE9xapkUUAE5_M1


กีตาร์ของเกคิคาระ:

CE9xaoRUIAAgRsN

เมื่อโอทาเบะแพ้แล้ว เด็งเดเคะจึงโมโหใหญ่ จึงให้โอคิตะดีดกีตาร์เพื่อป่วนประสาทเกคิคาระ
แต่เกคิคาระกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรสักนิดเดียว

“นี่แก ไม่ได้กลัวเสียงกีตาร์นี้รึยังไง!”

“กลัวเซ่ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า….”

แล้วเกคิคาระก็แย่งกีตาร์มาจากโอคิตะ เอามาดีดซะเอง (หล่อออออออ-///-)

20150518095227

ฉากนี้น่าจะหมายถึงเกคิคาระกลัวเสียงกีตาร์ก็จริง แต่ขณะเดียวกันกีตาร์ก็เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงถึงแม่ที่ตัวเองชื่นชมเช่นกัน กลัวก็กลัว แต่รักยิ่งกว่า เป็นปมซับซ้อนในจิตใจของเกคิคาระที่มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่เข้าถึง

ฉากที่เกคิคาระดีดกีตาร์ชวนให้ยิ้มทั้งน้ำตามาก ๆ

20150515000520


ลาก่อน เกียวโต :

55b8ab68286eac31eb2c6f5c799182fd

พวกเด็งเดเคะก็เข้ามารุมเกคิคาระ พี่ท่านก็ต่อยคว่ำไปหมดไม่เว้น ต่อยคู่หมีหมูจนนางทั้งคู่วิ่งหนีไปเพราะไม่อยากแพ้ แต่ด้วยจำนวนของศัตรูที่มากกว่าก็เลยทำให้เสียเปรียบ
ให้จังหวะที่เกือบเสียท่า โอทาเบะก็ปรากฏตัวขึ้นมาช่วยในชุดนักเรียนมาจิโจพร้อมดาบคู่ในมือ
โอทาเบะกับเกคิคาระร่วมกันต่อสู้กับพวกเด็งเดเคะจนชนะในที่สุด

728790de

แล้วเกคิคาระกับโอทาเบะก็นั่งหลังพิงกันทั้งหิมะโปรยปรายเป็นสีเลือด

“กลับมาจิโจกันเถอะ” เกคิคาระหัวเราะ

“เป็นการเดินทางที่ดีเหมือนกันนะ” โอทาเบะหัวเราะตอบ

แล้วทั้งคู่ก็ลุกขึ้นพากันกลับ แต่แล้วพวกกัตสึก็วิ่งตามมาบอก พี่ ๆ อย่าลืมน้องเซ่
เกคิคาระกับโอทาเบะชำเลืองมองทางหางตาก่อนจะเมินหนี

“โธ่! ทั้งสองคนนี่เป็นโดะSกันทั้งคู่เลยนี่นา!” กัตสึไม่พอใจ ก่อนเปลี่ยนโหมดแอ๊บแบ๊ว

“แต่กัตสึเป็นโดะM เข้ากันได้พอดีค่า♥”

แล้วทุกคนก็พากันเดินลงจากทางซ้ายของเวที ตอนนั่งดูนี่ตกใจแบบ เฮ้ย ๆๆๆ ….กรี๊ด ไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้น อิจแป๊บTvT

มาเห็นฉากนี้ชัด ๆ ตอนดูรอบสองที่นั่งฝั่งซ้าย อยู่แถวหน้าประตูหนีไฟเกือบติดทางเดินขวา ก็เลยเห็นตอนเดินลงจากเวทีมาพอดี เกคิคาระเดินนำ ตามด้วยโอทาเบะ แทบมองไม่เห็นหน้าเกคิคาระเพราะนางก้มซะผมปิดหน้า…… เกคิคาระเดินจ้ำเอา ๆ เหมือนวิ่งตามควาย ทิ้งซังคาคุโบกธงเป็นคนสุดท้ายของกลุ่มเป็นการอำลาเกียวโต

“อาดิโอส เกียวโต!”

12


เกคิคาระจบการศึกษา:

9c3326a7

ฉากนี้น่าจะเรียกว่าเป็นฉากปิดท้ายเพื่อเสริมตอนจบของเนื้อเรื่องหลัก
เกคิคาระแบกขาตั้งไมค์ไว้บนไหล่ เดินดิ่งมากลางเวที (เข้าใจแล้วว่าตะกี้วิ่งตามควายทำไม ต้องรีบมาเข้าฉากนี่เอง) วางขาตั้งไมค์ปึ้งบนพื้น เกล็ดหิมะเลือดปลิวฟุ้งขึ้นมา ดูสองรอบก็ฟุ้งขึ้นทุกรอบ เป็นฉากที่เท่บาดใจทาสเหลือเกิน♥

ดนตรีเพลง Maeshika Mukanee ดังขึ้น เกคิคาระร้องในท่อนโซโล่ของยูโกะด้วยเสียงหล่อๆของพี่ท่าน
โอ๊ยเท่จังค่า /)_(\ รักเสียงโทนต่ำของพี่เค้า

แล้วโอทาเบะก็โผล่มาจากข้างหลัง กวักมือให้คนดูลุกขึ้นร้องเพลงตาม แล้วพวกมาจิโจก็พากันออกมาร่วมร้องเพลงนี้ด้วย น่าจะเป็นนัยว่า ร้องเพลงนี้เพื่อส่งเกคิคาระจบการศึกษานั่นเอง

de4e11ad1c37beb7dfd220dc03a9db86

fc8b4f9b3aaa56c2eb3a3bc649338cf3

ฉากนี้สนุกมากเพราะได้มีส่วนร่วม กระโดดเชียร์ไปด้วย ท่องโค้ดด้วย แต่ร้องแม่งทั้งเพลงเลย สนุก 5555555555555555 ตอนดูรอบแรก โอตะชายแถวหน้าเราสามคนควักแท่งไฟสีเขียวขึ้นมาโบก พอมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าโห มีแท่งไฟสีเขียวอยู่ประปราย สรุปสามคนข้างหน้าเป็นโอชิเรนะหมดเลย ตอนจบช่วยกันตะโกนชื่อเรนะดังมาก นี่ก็เอากะเค้าด้วย 555555555555555555

f6d428b05554087c-23f17115a555fc5ce05a6862fc1953a6

พอจบฉากนี้ก็เป็นการแนะนำตัวของนักแสดงแต่ละคน ไล่มาจากพวกเด็งเดเคะถึงเด็กมาจิโจ รองสุดท้ายเป็นยุยฮัง แล้วก็เรนะปรากฏตัวขึ้นเป็นคนสุดท้ายพร้อมร่มสีแดง ใครออกมาก็ตะโกนชื่อเด็กคนนั้น
ผู้ชมยังยืนปรบมือไม่หยุดกระทั่งยุยฮังกล่าวทักทายจบการแสดง

รอบกลางวันของวันที่ 15 ยุยฮังพูดว่านี่ขนาดเป็นรอบกลางวันวันธรรมดา คนก็ยังมาดูเพียบขนาดนี้ (ผู้ชมฮา)

เรนะ: -_- ………………..

รอบกลางคืนของวันที่ 18 ยุยฮังพูดว่า ในที่สุดพรุ่งนี้ก็จะเป็นการแสดงรอบสุดท้ายแล้ว อื้ม วันสุดท้ายก็เป็นวันอังคารน่ะแหละนะคะ (ผู้ชมฮา)

เรนะ: ………………………………-_-

ยุยฮัง: นี่เวลาอุริโบออกมาทีไร ผู้ชมพากันหัวเราะตลอดเลย เราก็เออ รู้สึกดีเนอะ
มิกิ: อุรี๊~~~~
ผู้ชม : หัวเราะ
เรนะ: ………………………………………. -_-

5e38bdaee34fe12fdb2d73a5ce6cdd3b

…..เกคิซามะสิงร่างเรนะซังแล้วไปแล้วสินะ ไม่ยิ้มไม่เล่น หน้านิ่งตลอดเลย ขนาดแสดงจบก็ยังอยู่ในคาแรกเตอร์ไม่หลุดTvT เคยคิดว่าเออ เรนะซังคงจะพูดอะไรบ้างแหละ ก็เป็นตัวแสดงหลักนะ แต่ปรากฏว่านางไม่พูดค่ะ …ไม่พูดเลยจริง ๆ ให้ยุยฮังพูดคนเดียว ครั้งเดียวที่นางพูดคือพูดขอบคุณตอนที่ทุกคนโค้งขอบคุณกัน…………. โอเค น้องเข้าใจแล้วค่ะ เกคิซามะTvT


เพ้อเจ้อส่วนตัว:

20150513222346

แล้วละครเวทีมาจิสึกะก็จบลง ทิ้งความรู้สึกมีพลังบางอย่างอยู่ในใจ

สำหรับเราที่รู้สึกว่าสูญเสียความกระตือรือร้นในการใช้ชีวิตไปพักใหญ่ ถือว่าได้รับแรงบันดาลใจมามากทีเดียว พลังของการเอาจริงเอาจังที่สัมผัสได้จากการแสดงสดตรงหน้ามันสั่นสะเทือนหัวใจได้จริง ๆ นะ
เห็นแล้วรู้เลยว่าทุกคนฝึกซ้อมมาหนักมาก เรนะซังก็ป่วยแล้วป่วยอีก
นี่ก็เล่นจนขาเจ็บ…..แต่ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้เลยนะว่าเจ็บ เพราะตอนแสดงเดินเหินปกติมาก
รอบวันที่ 15 ที่ไปดูก็เห็นรอยช้ำบนต้นขา แต่พอวันที่ 18 ก็ไม่เห็น เลยคิดว่าคงหายแล้วและเล่นเข้าจังหวะมากขึ้นก็เลยไม่บาดเจ็บอะไรอีก

ตอนดูครั้งแรก ชวนให้คิดถึงตอนที่ทำละครเวทีสมัยเรียนมหาลัย
นั่งดูแล้วอารมณ์เดียวกับนั่งดูเพื่อนแสดงมาก ๆ ดูแล้วยิ้มตามว่าเออ พยายามกันเต็มที่ดีเนอะ
สมัยทำละครก็ผ่านมาทุกบททั้งคนเขียนบท ผู้กำกับ แสดงเองก็แสดง ทำฉากตอกไม้ทาสีก็บ่อย
เลยรู้ในทุกจุดว่าฉากสั้น ๆ ฉากเดียวแต่สะกดคนทั้งโรงละครมันต้องมีรายละเอียดมากกว่าการที่นักแสดงสร้างสีหน้าได้ดี เพราะยังไงซะละครเวทีก็ต่างจากละครทีวีตรงที่ผู้ชมไม่เห็นสีหน้าเล็ก ๆ นั่นแหละ
ทำยังไงถึงจะแสดงอารมณ์ออกมาให้คนดูทั้งโรงเข้าใจได้ว่าตัวละครนี้รู้สึกยังไง
เขียนชมแต่เรนะซังมาทั้งเรื่อง แต่ขอชมทาโนะหน่อย แสดงดีมากกกกก ตัวเล็กนิดเดียวแต่แสดงได้ยิ่งใหญ่ อารมณ์ สีหน้า น้ำเสียง การเคลื่อนไหวเข้าระดับมืออาชีพไปแล้ว เวลาร่วมฉากกัน คนที่ดึงสายตาเราไปจากเกคิซามะได้ก็มีแต่ทาโนะนี่แหละ

ปกติแล้วไม่ค่อยเชื่อในเรื่องแบบนี้ แต่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่คิดว่าเป็นโชคชะตาก็ได้ล่ะมั้ง
ว่ามีคนที่สามารถสร้างพลังให้เราได้จริง ๆ และเป็นต้นกำเนิดของแรงบันดาลใจ
มัตสึอิ เรนะเป็นคนแบบนั้นสำหรับเรา ตราบใดที่เค้าพยายามอยู่อย่างเต็มที่ในทุกวัน เราก็รู้สึกว่าตัวเองก็สามารถพยายามต่อไปได้ โดยไม่ต้องมีเหตุผล

อยากขอบคุณมาก ๆ สำหรับสิ่งที่เราได้รับมาจากเค้า
สำหรับเรา เค้าเป็นมากกว่าไอดอลในจอทีวี เป็นต้นแบบของการใช้ชีวิตก็ว่าได้นะ

และเพราะเรนะซังอีกนั่นแหละ ทำให้เราได้รู้จักกับลุงโอตะวต.(นามสมมติ)
เหตุเกิดจากวันที่ 18 ด้วยความที่ยังไงก็อยากดูละครอีกรอบ
ก็เลยไปนั่งชูป้ายหาตั๋วแถวสวนสาธารณะโยโยงินั่งอยู่ครึ่งชั่วโมงมีแต่คนมองว่าอินี่ทำอะไรน่ะ อายก็อาย….TvT

แต่แล้วลุงวต. ก็เดินเข้ามาอ่านป้ายเรา พร้อมทักว่า อยากได้ตั๋วเหรอ?
นี่ดีใจมากรีบถามต่อทันทีว่ามีเหรอคะ? ลุงวต.หัวเราะและตอบว่ามีสิ แล้วกวักมือให้เดินไปด้วยกัน
นี่ก็เดินตามอย่างว่าง่ายไม่ทันคิดว่า เอ๊ะ เค้าจะลากเอ็งไปหมกป่ารึเปล่าTwT…
แต่ชีวิตไม่กุดถึงขั้นนั้น ลุงวต.มีตั๋วเหลือพอดีเพราะเพื่อนเค้าติดงานมาไม่ได้จริง ๆ
และแกก็ลำบากอยากหาคนมาซื้อต่อเหมือนกัน ก็วินวินไปทั้งสองฝ่าย เราได้ตั๋วมาราคาทุน ลุงไม่ขาดทุนและได้เพื่อนไปดูด้วยกัน สนุกสนานอารมณ์พ่อลูก

ได้เพื่อนใหม่ ได้มิตรภาพใหม่ แลกเมล์คุยกัน ตอนดูจบลุงวต.ถึงกับมาส่งเราขึ้นรถไฟเพราะกลัวเด็กต่างชาติจะหลง ใจดีบอกว่าถ้าต่อไปมาญี่ปุ่นก็บอกนะเดี๋ยวซื้อตั๋วคอนเสิร์ตไว้ให้
เช้าอีกวันส่งเมล์มาบอกว่าเดี๋ยวจะเลี้ยงข้าวที่ร้านอาหารอิตาเลียนที่เขาเป็นเชฟอยู่ด้วย มาญี่ปุ่นอีกต้องบอกเค้านะ ได้มิตรภาพดี ๆ เป็นความทรงจำที่น่าประทับใจมากจริง ๆ สำหรับการไปญี่ปุ่นแบบเที่ยวคนเดียวครั้งแรก

ป.ล. ลุงวต.บอกอีกว่าเค้ามักมีตั๋วเหลือบ่อยเพราะจองพร้อมเพื่อนแล้วดันถูกตั๋วพร้อมกัน ทุกครั้งก็เลยต้องลำบากใจการหาคนซื้อต่ออยู่เรื่อย ถ้ามีคนมานั่งชูป้ายให้เห็นชัด ๆ อย่างเราเค้าจะดีใจมาก เพราะเข้าไปทักได้อย่างสบายใจไม่ต้องพูดลำบาก

เพราะงั้น ทุกคนคะ….. ใครไปติ่งแล้วไม่มีตั๋วอย่ายอมแพ้นะคะ ชูป้ายค่ะ โชคดีหน่อยเดี๋ยวก็ได้ตั๋วมา ราคาทุนด้วยนะTvT